MP3 Players around The world

Toys and Games

Google Search Box

Google
Web www.cnn.com
Get This Search Box

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ประวัติฟุตบอลEURO (ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป)

จากหัวเรื่องก็พอจะรู้แล้วนะครับว่าวันนี้จะพูดถึงเรื่องอะไร...ขอเกาะกระแสให้เข้ากับความดังกับการแข่งขันฟุตบอลกันหน่อยนะคับผม
ตอนนี้ไม่มีอไรจะดังเท่ากับการแข่งขันฟุตบอล EURO ที่จะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้าอีกแล้วคับพี่น้อง
หลังจากที่ดูฟุตบอลในลีกต่างมากันอย่างจุใจแล้ว...ก็เข้ามาถึงเทศกาล
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป2008 ฟีเวอร์ กันซักที่...555 หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อว่า EURO 2008
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆก็พอจะได้ยินกันมาบ้างแล้วนะคับว่าจะมีการจัดแข่งขันฟุตบอล EURO ขึ้นในปีนี้...
และก็ใกล้จะถึงวันแข่งแล้วด้วยนั้นก็คือวันที่ 7-29 มิ.ย. 2551 นะคับ
เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทุกคนก็พอจะรู้มาบ้างแล้วนะคับ...แต่วันนี้ผมจะขอมาเล่าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป(EURO)ให้ทุกคนได้ทราบกันนะคับ...
อะเพื่อไม่ให้รอช้าเริ่มกันเลยแล้วกันนะคับ...

ประวัติ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ฟุตบอล ยูโร)


ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (European Football Championship) หรือที่แฟนบอลเรียกกันสั้นๆ ว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการหลักของประเทศในทวีปยุโรป เพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีเท้าในการเป็นจ้าวแห่งวงการลูกหนังทวีปยุโรป จัดขึ้นทุก 4 ปี โดยจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 ปี และอยู่ในการกำกับดูแลของ European Football Association หรือ ยูฟ่า (UEFA) ซึ่งถูกก่อนตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2499)

ต้นกำเนิดของ “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” นั้น เริ่มต้นในปี 1956 โดยใช้ชื่อทัวร์นาเม้นท์ว่า "European Nations' Cup" จากนั้นอีกสองปีจึงเปลี่ยนมาใช้ "UEFA European Championship" ดังเช่นที่รู้จักกันในปัจจุบัน แต่เดิมนั้นรูปแบบของการแข่งขันของ “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” นั้น จะมีระบบการแข่งขันที่แตกต่างไปจากปัจจุบัน โดยจะแข่งกันแบบทีมเหย้าและทีมเยือนโดยนับผลแพ้ชนะตกรอบ จนถึงรอบรองชนะเลิศ ซึ่งจะทำการแข่งขันในประเทศที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ

สำหรับประเทศแรกที่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในศักราชใหม่ คือ ประเทศฝรั่งเศส จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 6-10 กรกฎาคม 1960 มีชาติลูกหนังยุโรปส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 17 ทีม โดยมีเมือง มาร์กเซย และ ปารีส เป็นสังเวียนฟาดแข้งในรอบรองชนะเลิศ, ชิงอันดับสาม และชิงชนะเลิศ และก็เป็นขุนพลลูกหนังของประเทศสหภาพโซเวียต ที่คว้าแชมป์จ้าวยูโรปไปครองได้เป็นชาติแรกด้วยการเฉือนชนะ ทีมชาติ ยูโกสลาเวีย ไป 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ท่ามกลางแฟนบอลที่เป็นสักขีพยานในสนาม สต๊าด ปาร์ค เดอ ปริ๊นซ์ ในกรุงปารีส กว่า 18,000 คน

อาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่มีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดความสำเร็จในการจัดการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้ คือ “อองรี เดอลานี่ย์” (Henri Delaunay) นายกสมาคมฟุตบอลของประเทศฝรั่งเศส ด้วยคุณงามความดีที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติชื่อของเขาจึงถูกจารึกไว้บนถ้วยรางวัลไว้เป็นอนุสรณ์และใช้เรียกเชื่อถ้วยรางวัลอันทรงค่าใบนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมาการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปนั้นมีพัฒนาการเรื่อยมา จบจนการแข่งขันในปี 1968 เป็นต้นมา ได้มีชาติมหาอำนาจต่างๆ ได้เข้าร่วมร่วมชิงชัยถ้วยใบนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป และ สหภาพโซเวียต ล่มสลาย ทำให้เกิดประเทศใหม่ขึ้นมามากมาย




ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการปรับปรุงระบบการแข่งขันให้มีความสนุกมากกว่าเดิม โดยในปี 1980 มีการเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขัน 8 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ที่ อิตาลี เป็นเจ้าภาพ จะถูกแบ่งออกเป็นสองสายและแข่งแบบพบกันหมด จากนั้นจึงทีมที่มีคะแนนสูงสุดจะเข้าสู่รอบสุดท้ายที่อิตาลีซึ่งในปีนั้น เยอรมนี เข้าไปพบ เบลเยี่ยมในรอบสุดท้ายที่กรุงโรม และขุนพลนาซีครองแชมป์ด้วยสองประตูของ ฮอร์สต์ ฮรูเบซ พาให้เยอรมนีครองชัยในปีนั้น ด้วยสกอร์ 2-1

สำหรับการแข่งขันในปี 1984 นั้น ได้มีการยกเลิกการชิงตำแหน่งที่สามจากการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้และทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาทีมที่แพ้ในรอบรองชนะเลิศจะไม่ต้องมาเตะชิงที่สามกันรวมทั้งยกเลิกทีมอันดับสามออกจากรายการแข่งขันไปด้วย ทำให้คงเหลือแต่ตำแหน่งแชมป์ กับ รองแชมป์ ที่ผ่านเข้าไปในรอบชิงชนะเลิศได้เท่านั้น

ในปี 1996 การแข่งขันฟุตบอลแห่งชาติยุโรปเริ่มได้รับความสนใจจากประเทศน้อยใหญ่ที่อยู่ในเครือข่ายมากขึ้น มีทีมที่แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมการแข่งขันถึง 48 ทีม รูปแบบการแข่งขันจึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง จาก 48 ทีม ฝ่ายจัดการแข่งขันและฟีฟ่าได้ตัดสินใจเพิ่มโควต้าทีมในรอบสุดท้ายเป็น 16 ทีมเป็นครั้งแรก เพื่อพาเหรดกันเข้าสู่เกาะอังกฤษเพื่อแข่งขันในรอบสุดท้าย

โดยการแข่งขันยูโรฯ รอบสุดท้ายในครั้งนั้น รอบแรกแบ่งออกเป็นสี่สายและทีมที่มีคะแนนอันดับที่หนึ่งและสองก็จะเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งใช้ระบบแพ้ตกรอบ จากนั้นก็จะทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศซึ่งมีสี่ทีม และคู่ชิง นอกจากนี้ยังได้มีการนำกฎ “โกลเด้นโกล” มาใช้งานเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในครั้งนี้ด้วย โดยแชมป์ในครั้งนั้นก็คือ ทีมชาติเยอรมันนี หลังจากโอลิเวอร์ เบียโฮฟ ดาวยิงประจำทีม ซัดประตู "โกลด์เด้นโกล" ประวัติศาสตร์ เฉือนเอาชนะ สาธารณรัฐเช็กไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษในรอบชิงชนะเลิศ




ในปี 2000 ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรวมไปถึงการรายการฟุตบอลระดับนานาชาติที่มีสองชาติเป็นเจ้าภาพร่วมกันจัดการแข่งขัน นั่นคือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ เบลเยี่ยม ปรากฎการดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (International Football Association) หรือ ฟีฟ่า (FIFA) จะตัดสินให้ ประเทศ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วม ในการจัดฟุตบอลโลกในอีก 2 ปีถัดมา อย่างไรก็ตาม ชาติที่ได้ครองแชมป์ในปี 2002 นั่นคือ ทีม "ตราไก่" ฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นการครองถ้วย อองรี เดอลานี่ย์ เป็นครั้งที่สองของทีมหลังจากที่ดาวิด เทรเซเกล ดาวยิงตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมา ซัดประตู "โกลเด้นโกล" เฉือน ทีม "อัซซูรี่ " อิตาลี ไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ในฟุตบอลยูโร 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส เป็นเจ้าภาพ ได้มีการยกเลิกกฎ "โกล์เด้นโกล์" และนำกฎ "ซิลเวอร์โกล์" มาใช้แทน โดยแต่เดิมนั้นกฎ "โกลเด้นโกล์" จะใช้ในกรณีที่คู่แข่งขันลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที ซึ่งหากทีมใดทำประตูได้ก่อนในช่วงเวลาดังกล่าว เกมก็จะยุติทันที ขณะที่ กฎ "ซิลเวอร์โกล" นั่น จะใช้ในกรณีที่คู่แข่งขันลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาทีเช่นกัน แต่ต่างตรงที่ หากทีมได้ทำประตูได้ก่อนเกมจะยังไม่ยุติทันที แต่จะรอให้หมดเวลาในช่วงต่อเวลาพิเศษในครึ่งแรก 15 นาทีเสียก่อน เกมถึงจะยุติ นั่นหมายความว่า ยังให้โอกาสทีมที่โดนนำทำประตูตีคืนให้ได้ในช่วงเวลาที่เหลือดังกล่าวนั่นเอง




สำหรับการแข่งขันในปีนั้น ได้มีการนำ กฏ "ซิลเวอร์โกล" มาใช้เพียงครั้งเดียวในรอบก่อนรองชนะเลิศในเกมระหว่าง ทีมชาติกรีซ พบกับ สาธารณรัฐเช็ก ก่อนที่ ทีมจากดินแดนเทพนิยายจะเอาชนะไปได้ และก้าวไปคว้าแชมป์ยูโรได้เป็นสมัยแรกของทีมได้อย่างยิ่งใหญ่ ในท้ายที่สุด ด้วยลูกโหม่งของ จอร์จ อันดราเด้ เซ็นเตอร์แบ็ค ปลิดชีพ ทีมเจ้าภาพอย่างโปรตุเกส ไปด้วยสกอร์ 1-0 พร้อมกับสร้างตำนานอีกหน้าหนึ่งให้กับรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปให้กล่าวขวัญถึงอีกนานเท่านาน

ไม่มีความคิดเห็น: